ไขข้อข้องใจ วีซ่าคืออะไร และหากถูกปฏิเสธวีซ่า ประกันเดินทางต่างประเทศช่วยคุณได้อย่างไร ?

การเดินทางไปต่างประเทศเป็นไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบส่วนตัวของหลาย ๆ คน ซึ่งสำหรับประเทศ Free Visa เราสามารถเดินทางผ่านฉลุย สบายใจ หากเตรียมความพร้อมครบทุกด้าน แต่สำหรับบางประเทศจะต้องมีการขอวีซ่า (Visa) ก่อนเดินทาง ซึ่งในบางครั้งก็อาจไม่ได้รับการอนุมัติ และเหตุการณ์นี้อาจทำให้แผนการเดินทางของคุณต้องหยุดชะงัก แต่ยังโชคดีที่ในปัจจุบันมีประกันเดินทางต่างประเทศเป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบจากการถูกปฏิเสธวีซ่าได้

วันนี้ตามมาดูกันว่า วีซ่าคืออะไร มีกี่ประเภท ประเทศใดบ้างที่ต้องขอวีซ่า พร้อมบอกสาเหตุที่อาจทำให้คุณถูกปฏิเสธวีซ่า รวมถึงมาดูกันว่า ประกันเดินทางต่างประเทศจะช่วยในกรณีนี้ได้อย่างไร ?

วีซ่า (Visa) คืออะไร?

วีซ่า (Visa) คือเอกสารที่ออกโดยสถานทูตหรือสถานกงสุลของประเทศปลายทางที่คุณต้องการเดินทางเข้าไป โดยมีวัตถุประสงค์ในการอนุญาตให้บุคคลต่างชาติเดินทางเข้าประเทศนั้น ๆ ได้อย่างเป็นทางการ และจะมีการระบุวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักในประเทศนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้ววีซ่าอาจอยู่ในรูปแบบของตราประทับในหนังสือเดินทาง หรือเป็นเอกสารแยกต่างหากที่แนบมากับหนังสือเดินทาง และสำหรับบางประเทศอาจมีการใช้ระบบวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ (e-Visa) ส่วนใหญ่ข้อมูลที่ระบุในวีซ่ามักจะประกอบไปด้วย

  • ชื่อ – นามสกุลของผู้ถือวีซ่า
  • ประเภทของวีซ่า (เช่น ท่องเที่ยว, ธุรกิจ, นักเรียน)
  • วันที่ออกและวันหมดอายุของวีซ่า
  • จำนวนครั้งที่สามารถเข้าประเทศได้ (เช่น ครั้งเดียว หรือหลายครั้ง)
  • ระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าแต่ละประเทศมีนโยบายวีซ่าแตกต่างกัน ก่อนเดินทางจึงควรศึกษาให้ดี

วีซ่ามีกี่ประเภท? ประเทศไหนที่ต้องขอวีซ่าบ้าง?

การขอวีซ่ามีด้วยกันหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการเดินทางและระยะเวลาที่คุณต้องการอยู่ในประเทศนั้น ๆ แต่หลัก ๆ แล้ว สามารถแบ่งประเภทของวีซ่าได้ดังนี้

1. วีซ่าท่องเที่ยว (Tourist Visa)

วีซ่าท่องเที่ยวเป็นประเภทของวีซ่าที่ออกให้กับผู้ที่ต้องการเดินทางเพื่อการพักผ่อน หรือสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวอย่างที่เราคุ้นเคยกันดี และแน่นอนว่าการถือวีซ่าประเภทนี้ไม่อนุญาตให้ทำงานหรือประกอบธุรกิจใด ๆ ในประเทศจุดหมายได้ ทั้งนี้วีซ่าท่องเที่ยวมักมีระยะเวลาจำกัด ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 30 – 90 วันตามที่แต่ละประเทศกำหนด 

2. วีซ่าธุรกิจ (Business Visa)

วีซ่าธุรกิจเป็นประเภทวีซ่าที่ออกให้กับผู้ที่ต้องการเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ เข้าร่วมการประชุม การเจรจาธุรกิจ หรือการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า วีซ่าธุรกิจมักมีระยะเวลาที่สั้น และในขั้นตอนการยื่นขอวีซ่าประเภทนี้ อาจจะต้องยื่นเอกสาร เช่น จดหมายเชิญจากบริษัท หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องจากองค์กรประเทศนั้น ๆ เพิ่มเติมด้วย

3. วีซ่านักเรียน (Student Visa)

วีซ่านี้ออกให้กับผู้ที่ต้องการศึกษาในต่างประเทศ และอนุญาตให้ผู้ถือสามารถอยู่ในประเทศนั้นได้ตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ เช่น ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท หรือการศึกษาแบบแลกเปลี่ยน ทั้งนี้การถือวีซ่านักเรียนอาจมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำงานพาร์ตไทม์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ

4. วีซ่าทำงาน (Work Visa)

วีซ่าทำงานออกให้กับผู้ที่ต้องการทำงานในต่างประเทศ และจำเป็นต้องมีการยื่นขอพร้อมกับสัญญาการจ้างงานจากนายจ้างในประเทศนั้น ทั้งนี้ Work Visa อาจมีได้อีกหลายประเภทตามระยะเวลาหรือประเภทของงาน เช่น วีซ่าทำงานชั่วคราว วีซ่าทำงานถาวร หรือวีซ่าสำหรับงานเฉพาะทาง

5. วีซ่าครอบครัว (Family Visa)

เป็นวีซ่าที่ออกให้กับผู้ที่ต้องการเดินทางไปพำนักหรือเยี่ยมสมาชิกครอบครัวที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ โดยอาจใช้สำหรับการรวมครอบครัวหรือเป็นวีซ่าสำหรับคู่สมรสและบุตรของผู้ที่ถือวีซ่าทำงานหรือวีซ่านักเรียน วีซ่าครอบครัวมักอนุญาตให้ผู้ถือสามารถอยู่ในประเทศนั้นได้เป็นระยะเวลานาน แต่อาจต้องมีการแสดงหลักฐานการสนับสนุนทางการเงินและเอกสารยืนยันความสัมพันธ์ทางครอบครัว

6. วีซ่าผู้อพยพ (Immigrant Visa)

วีซ่าผู้อพยพเป็นประเภทที่ออกให้กับผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศอื่น วีซ่าประเภทนี้มักเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่นำไปสู่การได้รับถิ่นที่อยู่ถาวร (Permanent Residency) หรือการขอสัญชาติในประเทศนั้น วีซ่าผู้อพยพมักมีขั้นตอนการตรวจสอบที่เข้มงวด รวมถึงการตรวจสอบประวัติส่วนตัว ประวัติอาชญากรรม สุขภาพ และความสามารถทางการเงิน

7. วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa)

วีซ่าเชงเก้นเป็นวีซ่าที่ใช้สำหรับการเดินทางเข้าไปในกลุ่มประเทศสมาชิกเชงเก้น (Schengen Area) จำนวน 27 ประเทศในยุโรป รวมถึงประเทศยอดนิยมอย่างฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, และสเปน เป็นต้น ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทนี้สามารถเดินทางระหว่างประเทศภายในกลุ่มนี้ได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องขอวีซ่าใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนประเทศ และสามารถใช้ได้หลายวัตถุประสงค์ เช่น การท่องเที่ยว การทำธุรกิจ หรือการเยี่ยมเยียน โดยมีระยะเวลาการพำนักสูงสุดไม่เกิน 90 วันภายในระยะเวลา 180 วัน 

อย่างไรก็ตาม การยื่นขอวีซ่าเชงเก้นอาจจะต้องเตรียมเอกสารค่อนข้างมาก เช่น หลักฐานการเดินทาง อย่างตั๋วเครื่องบินไป-กลับ การจองที่พัก หลักฐานทางการเงิน รวมถึงประกันเดินทางต่างประเทศที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลไม่ต่ำกว่า 30,000 ยูโร และต้องครอบคลุมตลอดระยะเวลาที่คุณอยู่ในกลุ่มประเทศเชงเก้น ซึ่งประกันนี้ยังเป็นข้อกำหนดที่ต้องมีในการยื่นขอวีซ่าอีกด้วย

ประเทศไหนที่ต้องขอวีซ่าบ้าง?

อย่างที่บอกว่าบางประเทศก็ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าในการเข้าประเทศ การต้องขอวีซ่าหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณจะเดินทางเข้าไป และประเทศที่คุณถือสัญชาติ

ซึ่งประเทศที่คนไทยต้องขอวีซ่ามีหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น แคนาดา จีน รัสเซีย และกลุ่มประเทศในยุโรปที่เป็นสมาชิกเชงเก้น (Schengen Area) เช่น ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, สเปน, เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ

การยื่นขอวีซ่าแต่ละประเภทอาจมีการขอเอกสารเพิ่มเติม หรือมีข้อกำหนดเฉพาะเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศหรือหน่วยงานร้องขอ ก่อนเดินทางจึงควรตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีเอกสารครบถ้วนและถูกต้องตามข้อกำหนด

รวมสาเหตุที่อาจจะทำให้คุณถูกปฏิเสธวีซ่า!

การถูกปฏิเสธวีซ่าอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างตามข้อต่อไปนี้

1. เอกสารไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง: การขาดเอกสารสำคัญ เช่น หลักฐานการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน รวมถึงกรณีพาสปอร์ตหมดอายุ อาจทำให้คุณขอวีซ่าไม่ผ่าน ดังนั้นควรตรวจสอบรายการเอกสารที่จำเป็นและกรอกข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน

2. ขาดเอกสารหรือหลักฐานทางการเงินที่สำคัญ: คุณจำเป็นต้องแสดงหลักฐานทางการเงินที่มีความชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงสถานภาพทางการเงินที่มั่นคง มีเงินเพียงพอสำหรับการเดินทางและการอยู่ในต่างประเทศ เช่น Statement บัญชีธนาคาร หนังสือรับรองทางการเงิน หลักฐานแสดงที่มาของรายได้ หรือ Sponsor Letter ในกรณีที่การเดินทางของคุณได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์หรือผู้อุปถัมภ์

3. ประวัติการเดินทางน่าสงสัยหรือผิดกฎหมาย: หากคุณเคยละเมิดกฎระเบียบการเข้าประเทศ เช่น การอยู่เกินกำหนด หรือการทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจส่งผลให้ถูกปฏิเสธวีซ่าได้ ดังนั้น จึงควรปฏิบัติตามกฏหมายหรือกฏระเบียบของแต่ละประเทศอย่างเคร่งครัด

4. จุดประสงค์การเดินทางไม่ชัดเจน: ต้องอธิบายวัตถุประสงค์ของการเดินทางได้อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับประเภทวีซ่าที่ขอ เช่น การท่องเที่ยว การศึกษา หรือการทำธุรกิจ หากเป็นวีซ่าท่องเที่ยว ควรแจ้งแผนการเดินทางที่ละเอียด

5. ไม่สามารถพิสูจน์ความผูกพันกับประเทศบ้านเกิด: คุณควรแสดงหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ทราบว่ามีเหตุผลในการกลับประเทศ  เช่น มีงานประจำ ครอบครัว หรือทรัพย์สิน เพื่อเป็นการยืนยันว่าคุณมีหน้าที่รับผิดชอบ และไม่มีความเสี่ยงต่อการอยู่ในประเทศนั้น ๆ เกินกำหนดแน่นอน

6. ให้ข้อมูลเท็จในใบสมัครหรือระหว่างการสัมภาษณ์: การให้ข้อมูลเท็จหรือการปกปิดข้อมูลสำคัญเป็นเหตุผลหลักในการปฏิเสธวีซ่าและอาจส่งผลต่อการขอวีซ่าในอนาคตได้ นอกจากนี้ควรตอบคำถามสัมภาษณ์ให้สอดคล้องกับเอกสารและฟอร์มที่ยื่นไว้ด้วย แนะนำให้คุณเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างราบรื่น

7. ไม่มีประกันการเดินทางที่ครอบคลุมเพียงพอ: บางประเทศกำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้เดินทางต้องมีประกันสุขภาพและประกันเดินทางต่างประเทศที่ครอบคลุมตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศนั้น ตัวอย่างเช่น ประกันเดินทางสำหรับอยู่ในกลุ่มประเทศเชงเก้น ที่ต้องมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลไม่ต่ำกว่า 30,000 ยูโร

การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้ผู้สมัครวีซ่าสามารถเตรียมตัวได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติวีซ่า อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และอาจมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น ปัญหาสุขภาพ ประวัติอาชญากรรม เหตุผลในการถูกปฏิเสธครั้งก่อน และอีกมากมาย

ผลกระทบที่ได้รับจากการถูกปฏิเสธวีซ่า

แน่นอนว่าเมื่อถูกปฏิเสธวีซ่าย่อมส่งผลกระทบหลายด้าน สามารถสรุปได้หลัก ๆ คือ

  • เสียเวลาและค่าใช้จ่าย: การขอวีซ่าในแต่ละครั้งต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูล จัดเตรียมเอกสารหลักฐาน และเตรียมตัวในการสัมภาษณ์เป็นอย่างดี รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการยื่นขอวีซ่าที่ต้องเสียไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากคุณยื่นวีซ่าไม่ผ่าน ยังสามารถยื่นอุทธรณ์หรือยื่นขอวีซ่าอีกครั้งได้เช่นกัน แต่การยื่นขอวีซ่าใหม่อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามมาได้
  • แผนการเดินทางเลื่อนหรือยกเลิก: การถูกปฏิเสธวีซ่าทำให้ต้องวางแผนการเดินทางใหม่ สำหรับใครที่มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทาง แนะนำให้ศึกษาระยะเวลาในการรอผลพิจารณาการอุทธรณ์ หรือระยะเวลาที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าอีกครั้งเพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
  • สูญเสียโอกาสสำคัญ: หากวีซ่าที่คุณยื่นขอเป็นวีซ่าทำงานหรือวีซ่านักเรียน อาจทำให้คุณพลาดโอกาสทางธุรกิจหรือการศึกษาที่ได้รับ ดังนั้น จึงควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนสัมภาษณ์
  • ส่งผลกระทบต่อการยื่นขอวีซ่าในอนาคต: การถูกปฏิเสธวีซ่าอาจส่งผลต่อโอกาสในการได้รับวีซ่าในรอบต่อ ๆ ไป และอาจมีการพิจารณาที่เข้มงวดขึ้น

เมื่อถูกปฏิเสธวีซ่า แนะนำให้ทำความเข้าใจเหตุผล ตรวจสอบจดหมายแจ้งผลการพิจารณาวีซ่าอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุที่ถูกปฏิเสธและดำเนินการแก้ไขต่อไป แต่หากไม่แน่ใจว่าควรจะดำเนินการอย่างไร แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านวีซ่าหรือคนใกล้ตัวที่เคยยื่นขอวีซ่าแต่ละประเภทมาก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสและเตรียมตัวได้ดียิ่งขึ้น

ประกันการเดินทางต่างประเทศช่วยอะไรได้บ้างในกรณีถูกปฏิเสธวีซ่า?

ประกันเดินทางต่างประเทศสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการถูกปฏิเสธวีซ่าได้ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อยกเว้นที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ของแต่ละบริษัทประกัน และบางแห่งอาจมีการร้องขอหลักฐานการปฏิเสธวีซ่าและเอกสารอื่นๆ เพื่อเคลมประกัน โดยทั่วไปประกันเดินทางจะเข้ามาช่วยในกรณีนี้ เช่น

  • คืนเงินค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถขอคืนได้: หากคุณจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก หรือบริการท่องเที่ยวอื่น ๆ และได้รับการปฏิเสธวีซ่าหลังจากจอง ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมกรณีนี้อาจชดเชยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้คุณได้
  • มอบเงินชดเชยหากถูกปฏิเสธวีซ่า: ส่วนใหญ่แล้วประกันเดินทางต่างประเทศ มักคุ้มครองกรณีคุณถูกปฏิเสธวีซ่า โดยอาจมอบเงินชดเชยส่วนนี้ให้ ซึ่งช่วยลดภาระทางการเงินได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อจำกัดของประกันเดินทางต่างประเทศแต่ละบริษัทประกันด้วย
  • คุ้มครองในกรณีฉุกเฉิน: หากคุณต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางอย่างกระทันหันเพราะถูกปฏิเสธวีซ่า ประกันการเดินทางบางบริษัทสามารถช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
  • สร้างความอุ่นใจได้มากขึ้น: แม้ประกันการเดินทางจะไม่สามารถเปลี่ยนผลการขอวีซ่าได้ แต่ก็สามารถให้ความอุ่นใจว่าหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นคุณจะได้รับการชดเชยทางการเงินตามเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์

iTravel ประกันเดินทางต่างประเทศ จากทูน ประกันภัย มั่นใจ ให้ความคุ้มครองกรณียื่นวีซ่าไม่ผ่าน*

เมื่อพูดถึงการเดินทางไปต่างแดนที่ไม่คุ้นเคยแล้ว เราไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นบ้าง ดังนั้นการมีประกันเดินทางที่คุ้มครองครอบคลุมติดตัวไว้ย่อมช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากกว่า และจะยิ่งดียิ่งขึ้นไปอีก หากประกันสามารถคุ้มครองในกรณียื่นวีซ่าไม่ผ่านได้ 

ขอแนะนำ ไอ ทราเวล ประกันเดินทางต่างประเทศ จาก Tune Protect ที่ให้เงินชดเชยกรณีถูกปฏิเสธการขอวีซ่า* (Visa refusal) และยังได้รับการรับรองจากสถานทูตเพื่อใช้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen) นอกจากนั้นยังมอบความคุ้มครองอื่น ๆ ที่คุ้มค่า เดินทางได้สบายใจทั่วโลก เช่น

  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลขณะอยู่ต่างประเทศ สูงสุด 4,000,000 บาท*
  • คุ้มครองอุบัติเหตุและการเสียชีวิต สูงสุด 5,000,000 บาท*
  • คุ้มครองกรณีไฟลต์ดีเลย์ ตกเครื่อง หรือถูกยกเลิกการเดินทาง*
  • ไม่ต้องสำรองจ่าย ในเครือข่ายโรงพยาบาลทั่วโลก*
  • คุ้มครองการติดเชื้อ COVID-19*

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า